Haadthip Journey
น้ำท่วมหาดใหญ่

บทพิสูจน์พลังน้ำใจ เหนือมหาอุทกภัย : หาดทิพย์ เคียงข้าง ผูกพัน
หากใครเดินผ่านย่านเศรษฐกิจของหาดใหญ่ในวันนี้ อาจจะยังเห็นร่องรอยความเสียหายจากวิกฤติการณ์น้ำท่วมสูงที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่สัปดาห์ ร่องรอยเหล่านี้คือเสียงสะท้อนของวันคืนที่เมืองใหญ่แห่งแดนใต้ต้องเผชิญบททดสอบครั้งหนักจากธรรมชาติ—บททดสอบที่แม้จะโหมกระหน่ำ แต่ก็ไม่อาจดับแสงของ “น้ำใจมนุษย์” ที่ส่องสว่างอยู่เงียบ ๆ ภายในทุกหัวใจ
ฝนที่ถาโถมลงมาหลายวันทำให้มวลน้ำจากเทือกเขาไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่อย่างรวดเร็ว ถนนที่เคยคึกคักกลับกลายเป็นคลอง ตลาดที่เคยครึกครื้นกลายเป็นพื้นที่เงียบงัน ยิ่งเมื่อไฟฟ้าดับลง เมืองทั้งเมืองเหมือนถูกคลุมด้วยผ้าห่มแห่งความอ้างว้าง แต่ในความมืดนั้นเอง—ไฟแห่งความหวังเริ่มลุกโชนขึ้นอีกครั้งจากการลงมือทำด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ของผู้คน





คนไทยไม่ทิ้งกัน พลังเล็ก ๆ ที่รวมกันเป็นหนึ่ง
ท่ามกลางวิกฤติที่สร้างความเสียหายอย่างประเมินค่ามิได้ เราเห็นภาพที่งดงามจากจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน—กู้ภัยจากหลายมูลนิธิ ทหาร จิตอาสาและผู้คนจากทุกสารทิศ ใช้ทุกแรงที่มีเพื่อลงพื้นที่ช่วยเหลือ และหาดทิพย์เองก็เป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองเล็ก ๆ ที่อาสาเข้าไปช่วยหนุนเสริมปฏิบัติการครั้งนี้
พลตรี พัชร รัตตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือที่รู้จักกันในนาม “เสธ.ดอลลาร์” ได้ลงพื้นที่หน้างานเพื่อช่วยเหลือชุมชนด้วยตัวเอง เมื่อเห็นแล้วว่าวิกฤติคราวนี้ร้ายแรงกว่าทุกครั้ง “เสธ.ดอลลาร์” ได้สั่งการให้ปรับเปลี่ยนสำนักงานใหญ่ที่หาดใหญ่เป็น “ศูนย์พักพิง”ชั่วคราว เพื่อรองรับพี่น้องประชาชนซึ่งต้องอพยพหนีภัยน้ำท่วม นอกจากนี้ ทรัพยากรที่มีทั้งรถบรรทุก เรือ เจ็ตสกี ถูกนำออกมาใช้เพื่อลำเลียงความช่วยเหลือเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ หาดทิพย์อาจจะไม่ได้เป็นองค์กรใหญ่โตที่มีทรัพยากรล้นเหลือ แต่ทุกอย่างที่มีถูกนำมาใช้ดูแลผู้ประสบภัยในฐานะเพื่อนบ้านที่อยู่ร่วมกับชุมชนภาคใต้มาอย่างยาวนาน




“เราขอเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวหาดใหญ่และพี่น้องภาคใต้ทุกคนที่กำลังเดือดร้อนจากวิกฤติอุทกภัยในครั้งนี้ และเราสัญญาว่าจะดูแลชุมชนของเราอย่างดีที่สุดตามขีดความสามารถที่เรามีอยู่เพื่อผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน” พลตรี พัชร รัตตกุล กล่าว



การเดินทางฝ่าสายฝน ของคนที่ไม่อยากทิ้งกัน
วิกฤติครั้งนี้ทำให้คำว่า “ทีมเวิร์ก” ไม่ใช่แค่นามธรรม แต่กลายเป็นการกระทำที่จับต้องได้ ทันทีที่สัญญาณขอความช่วยเหลือถูกส่งออกไป เพื่อนพนักงานหาดทิพย์จากทั่วสารทิศ ทั้งทีมพุนพิน สุราษฎร์ธานี ทีมสนับสนุนจากกรุงเทพฯและพี่น้องจากสาขาต่าง ๆ ทั่วภาคใต้ ต่างพร้อมใจกันทิ้งความสะดวกสบายส่วนตัว มุ่งหน้าฝ่าพายุลงมาสมทบภารกิจช่วยผู้ประสบภัย โดยร่วมกินนอนกันที่สำนักงานหาดใหญ่ทันที
ภาพการเดินทางฝ่าสายฝนของพวกเขา ไม่ได้สะท้อนเพียงแต่จิตอาสาของเหล่าพนักงานที่ได้รับการปลูกฝังมาอย่างยาวนาน แต่เกิดจากสำนึกที่ทุกคนมีอยู่เสมอว่าถ้าสังคมอยู่ไม่ได้ ธุรกิจของหาดทิพย์ก็ไปไม่รอดเช่นกัน ฉะนั้น ไม่ว่าตัวจะอยู่ไกลแค่ไหน ทันทีที่โอกาสเปิด ทุกคนต่างก็เดินหน้ามาหาดใหญ่ เพราะรู้ว่าชุมชนที่ช่วยสร้างให้เรามีธุรกิจอย่างทุกวันนี้กำลังรอความช่วยเหลือ ท่ามกลางพนักงานจิตอาสากว่าร้อยชีวิตที่มาร่วมทำงานกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ ซึ่งหลายคนจะเป็นผู้ประสบภัยเองด้วย เราขอคัดเลือกเรื่องราวของพนักงานทั้งสี่คนมาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ส่วนตัวในภารกิจนี้





เรื่องราวผ่านหัวใจจากพนักงาน
1. คุณหฤษฎ์ จีระพันธุ์ (แทงโก้) - ผู้จัดการแผนกลูกค้าโรงแรมและร้านอาหาร (HORECA) : แนวหน้าผู้ส่งต่อความหวัง
แทงโก้ลงมาจากรุงเทพตั้งแต่ก่อนระดับน้ำจะขึ้นสูงสุดและอาสาออกชุดปฏิบัติการช่วยเหลือชุมชน ส่งอาหาร ส่งน้ำ และถุงยังชีพ ตลอดจนช่วยเคลื่อนย้ายเด็ก ผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เขาเล่าให้ฟังว่าน้ำท่วมหาดใหญ่คราวนี้รุนแรงกว่าทุกครั้ง ในบางพื้นที่ น้ำสูงและไหลแรงมากจนเรือของบริษัทก็ไม่สามารถทำงานได้ ทุกวินาทีที่อยู่แนวหน้าคือการย้ำเตือนว่า การช่วยชีวิตไม่ใช่เพียงการส่งสิ่งของ แต่คือการส่งต่อความหวังให้กับผู้ประสบภัย ทุกครั้งที่ยื่นน้ำดื่มและถุงยังชีพออกไป เสียงในหัวใจที่ดังก้องเสมอคือ “คุณไม่ได้อยู่ลำพังนะ”
แทงโก้เล่าว่า “ทุกครั้งที่เห็นสายตาของผู้สูงอายุที่เปิดประตูออกมารับถุงยังชีพ หรือมือเล็ก ๆ ของเด็กที่คว้าแพ็คน้ำด้วยรอยยิ้ม เขาจะรู้สึกว่าแม้จะต้องเหน็ดเหนื่อยขนาดไหน แต่สิ่งที่ทำทั้งหมดมันมีคุณค่าและความหมายอย่างแท้จริง”



2. คุณพบทอง สวัสดี (อามส์) - ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด: จากนักการตลาดสู่บทบาทหน้าเตา
อามส์เป็นอาสาสมัครอีกคนที่มาจากสำนักงานกรุงเทพ โดยในวันที่มาถึงน้ำยังท่วมสูงอยู่ในบางจุด ทำให้ต้องอาศัยรถสิบล้อซึ่งมารับของที่ส่งมาจากกรุงเทพเพื่อเดินทางจากสนามบินเข้าไปที่สำนักงานที่หาดใหญ่ เมื่อมาถึง ก็อาสาดูแลงานโรงครัวทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่รู้ดีว่าข้าวกล่องที่ส่งถึงมือผู้ประสบภัยในทุก ๆ มื้อ คือเครื่องช่วยพยุงหัวจิตหัวใจในยามที่ลำบากและท้อแท้
“ผมไม่เคยทำครัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อน แต่ถ้ารอให้พร้อม คนรอทานข้าวคงรอไม่ได้ เราต้องเรียนรู้เดี๋ยวนี้ ทำเดี๋ยวนี้” จากบทบาทผู้บริหารที่วางแผนงานการตลาด อามส์กลายเป็นหัวหน้า “โรงครัว” ที่มีภารกิจต้องผลิตอาหารให้ได้วันละ 3,000-4,000 กล่อง ภายใต้ความกดดันที่ต้องแข่งกับเวลาและความหิวของผู้ประสบภัย อามส์เรียนรู้และซัพพอร์ตทีมแม่ครัวในทุกจุด เพื่อให้มั่นใจว่าข้าวทุกกล่อง ไข่ทุกฟองจะปรุงสุกใหม่และถึงมือผู้ประสบภัยได้เร็วที่สุด เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าน้ำท่วมครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลายครอบครัวตั้งตัวไม่ทัน ไม่ได้เตรียมเสบียงอาหาร หรือแม้แต่จะอพยพไปยังที่ปลอดภัย ถึงจะไม่ใช่งานที่ถนัดของอามส์ แต่ด้วยความตั้งใจ อาหารจากโรงครัวนี้ได้ทำหน้าที่เล็ก ๆ ที่คอยส่งต่อความห่วงใย เพื่อให้ข้าวแต่ละกล่อง เป็นมากกว่าแค่อาหาร แต่คือกำลังใจที่ส่งตรงถึงกันในยามยาก



3. คุณอังคณา ปัตตพัฒน์ (แอน) – ผู้อำนวยการฝ่ายโมเดิร์นเทรด: ผู้ก่อร่างพื้นที่ปลอดภัยทางใจ
เมื่อสำนักงานใหญ่ต้องเปลี่ยนเป็น “ศูนย์พักพิง” ภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน เพื่อรองรับผู้ประสบภัยนับร้อยชีวิต แอนซึ่งเป็นพนักงานที่ประจำที่สำนักงานหาดใหญ่อยู่แล้ว ไม่ได้มองว่านี่คือภารกิจเร่งด่วนเพียงอย่างเดียว แต่คือความรับผิดชอบทางใจ ที่ต้องดูแลหัวใจของคนที่เพิ่งผ่านช่วงเวลาที่หนักที่สุดในชีวิตมา
สำหรับแอนที่นี่ คือบ้านชั่วคราว ที่ต้องทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง ตั้งแต่การจัดพื้นที่ให้สะอาดเป็นสัดส่วน การจัดสรรที่นอนหมอนมุ้งให้เพียงพอ ไปจนถึงการดูแลเรื่องอาหารการกิน—ทุกอย่างถูกทำด้วยความตั้งใจ เพื่อให้ผู้ประสบภัยพักได้อย่างสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ในสถานการณ์แบบนี้
แต่สิ่งที่แอนใส่ใจมากที่สุด… ไม่ใช่แค่เรื่อง “ที่อยู่” แต่คือ “ที่วางหัวใจ” เธอเล่าว่าในคืนแรก ผู้ประสบภัยหลายคนยังมีแววตาตื่นกลัว เด็ก ๆ บางคนจับแขนแม่แน่นเพราะไม่รู้ว่าบ้านจะยังเหลืออยู่ไหม ขณะที่ผู้สูงอายุบางคนเอาแต่มองโทรศัพท์ที่แบตหมดราวกับกำลังเฝ้ารอข่าวสำคัญที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่
แอนบอกว่า “ตอนนั้นเราไม่ได้ต้องการแค่จัดที่นอนให้เขานอน แต่ต้องจัดพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้เขาด้วย …ต้องทำให้เขารู้สึกว่า ยังมีคนอยู่ข้าง ๆ เขา ยังมีที่ให้พักหายใจ ไม่ใช่แค่พักร่างกาย”
ศูนย์พักพิงเล็ก ๆ แห่งนี้จึงไม่ได้มีแค่ที่นอนที่ถูกปูต่อเรียงกัน แต่มีเรื่องราวของการกอด การปลอบโยน การแบ่งปัน ความผูกพันที่เกิดขึ้นในห้องสี่เหลี่ยมชั่วคราวที่กลายเป็นที่พักใจของผู้คนในคืนที่ด้านนอกยังเต็มไปด้วยน้ำและความไม่แน่นอน





4. คุณมัทธนา เรืองประทุม (มัท) – หัวหน้าหน่วยทรัพยากรบุคคล โรงงานพุนพิน: มาด้วยใจ… เพื่อนช่วยเพื่อน ไม่เลือกงาน
“ไกลแค่ไหนก็ต้องมา เพราะพี่น้องเราเดือดร้อน” คือคำแรกที่มัทพูด เมื่อเล่าถึงวันที่รู้ข่าวว่าหาดใหญ่กำลังเผชิญวิกฤติครั้งใหญ่
ทันทีที่ภาพน้ำท่วมปรากฏบนหน้าจอ มัท—หัวหน้าทีมสนับสนุนจากโรงงานพุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี—ตัดสินใจรวบรวมทีมทันที แม้ฝนจะยังตกหนัก ถนนหลายช่วงถูกตัดขาด แต่เธอและทีมไม่ลังเลแม้เสี้ยววินาที เพราะในหัวใจของพวกเขามีเพียงอย่างเดียว—“เพื่อนเรากำลังรอ”
การมาถึงของมัทไม่ได้มาในฐานะหัวหน้า แต่ในฐานะคนหนึ่งที่อยากช่วย เธอและทีมไม่เคยเกี่ยงว่าอะไรคือหน้าที่ของใคร งานไหนควรหรือไม่ควรทำ เพราะในยามแบบนี้… งานทุกงานคือหน้าที่ของหัวใจ ทีมกำลังเสริมจากพุนพินจึงพร้อมทำหน้าที่สารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นการแพ็คถุงยังชีพ การช่วยดูแลและเคลื่อนย้ายของบริจาค หรือแม้แต่การช่วยโหลดถุงยังชีพ อาหารและน้ำดื่ม ขึ้นรถบรรทุกที่ออกไปบริการชุมชนในทุก ๆ วัน
“คือเรารู้ว่า ทุกนาทีที่เราช้า คนที่รออยู่ในซอยที่น้ำยังไม่ลด… เขาอาจไม่มีน้ำกิน ไม่มีไฟ ไม่มีอะไรเลย เราเลยคิดอย่างเดียว ทำให้เร็วที่สุด เท่าที่แรงเราจะทำได้” – มัท
สิ่งที่ทำให้ใจของมัทสั่นไหวที่สุด คือช่วงหนึ่งที่เธอเดินผ่านพนักงานหาดทิพย์ในพื้นที่ บางคนกำลังตากผ้าจากบ้านที่จมอยู่ใต้น้ำ บางคนยังไม่รู้ว่ารถตัวเองหายไปหรือไม่ บางคนไม่มีแม้ที่นอน แต่ทุกคนยังยิ้ม… และยังช่วยกันต่อ และนั่นทำให้มัทมั่นใจว่า การเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่ภารกิจจากบริษัท แต่คือภารกิจจากหัวใจของคนใต้ที่ผูกพันกันมานาน
มัทและทีมจึงไม่ได้เป็นเพียงกำลังเสริม แต่เป็นแรงใจที่เดินทางมาช่วยพยุงผู้คนในวันที่ยากที่สุด ด้วยหัวใจที่เชื่อว่า…เมื่อใครสักคนล้มลง ความรักและน้ำใจที่ส่งให้กัน คือแรงที่ช่วยพยุงให้ลุกขึ้นได้อีกครั้ง



งาน“ศูนย์พักพิง”จะสมบูรณ์ไม่ได้ หากไม่มีบุคลากรทางการแพทย์ที่จะช่วยดูแลร่างกายและจิตใจของผู้ประสบภัย ที่ต้องผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายจากน้ำที่ท่วมสูง หาดทิพย์โชคดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากโรงพยาบาลนราธิวาสราชนครินทร์ จังหวัดนราธิวาส ที่ได้สนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์และจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขนาด 30 เตียงขึ้น ณ ศูนย์พักพิงของหาดทิพย์ และมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 5 ท่าน พร้อมด้วยพยาบาลวิชาชีพกว่า 10 ท่าน ตลอดจนบุคลากรสนับสนุน มาร่วมประจำการช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้วยหัวใจ ทำให้โรงพยาบาลสนามนี้มีศักยภาพเทียบเท่าโรงพยาบาล สามารถดูแลรักษาอาการเจ็บป่วยแก่ผู้ประสบภัยได้อย่างครอบคลุม ทั้งร่างกายและจิตใจ



รอยยิ้มแรกหลังน้ำลด
เมื่อระดับน้ำค่อย ๆ ลดลง ภารกิจยังไม่จบสิ้น โดยเฉพาะเมื่อไฟฟ้ายังไม่มาและน้ำประปายังไม่มี หาดทิพย์จึงได้จัดหน่วยรถนำเครื่องปั่นไฟออกให้บริการเพื่อเป็นจุดให้ผู้ประสบภัยได้ชาร์จมือถือ รวมถึงการนำรถน้ำออกให้บริการผู้ประสบภัยที่ต้องล้างคราบโคลนภายในบ้าน ท่ามกลางเสียงอึกทึกของชุมชนและเครื่องปั่นไฟ เราดีใจที่ได้ยินเสียงของพ่อที่โทรกลับหาลูกได้อีกครั้ง น้ำเสียงของครอบครัวที่ตามหากันจนเจอ—เหล่านี้ต่างคือเสียงแห่งชีวิตที่ค่อย ๆ กลับมาอีกครั้งหลังน้ำลด


ก้าวต่อไป...ด้วยใจที่ผูกพัน
แม้พายุจะผ่านไปแล้ว แต่เรารู้ดีว่าความเจ็บปวดและความเสียหายยังคงอยู่ สำหรับหลายครอบครัว ฟ้าหลังฝนอาจยังไม่ได้สดใสในทันที บางบ้านยังต้องฟื้นฟู บางคนยังต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ แต่สิ่งที่มหาอุทกภัยไม่อาจพัดพาไปได้ คือรากฐานของ “ความผูกพัน” ที่เรามีต่อกัน เหตุการณ์นี้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะยากลำบากแค่ไหน หาดทิพย์จะยังคงมุ่งมั่นทำหน้าที่ของเราในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมภาคใต้ เป็นเพื่อนที่คอยประคับประคองและเดินเคียงข้างกับพี่น้องคนใต้ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ เพื่อร่วมก้าวไปสู่วันที่ดีกว่าด้วยกัน ตามปรัชญาการทำงานที่ว่า “หาดทิพย์ เคียงข้าง ผูกพัน” ที่เรายึดมั่นเสมอมาและจะยึดมั่นตลอดไป
ขอบคุณภาพจาก Cr.Weerapong Narongkul